Lecture

<<<เนื้อหาบทเรียน>>>

บทที่ 2
กระบวนการพัฒนาเว็บไซท์...Web Development Processes...
จัดระบบโครงสร้างข้อมูล(Information Architecture)
การจัดระบบโครงสร้างข้อมูลเป็นพื้นฐานในการออกแบบเว็บไซท์ที่ดี ได้แก่
รูปแบบการนeเสนอ ระบบการทำงานแบบจำลอง ระบบเนวิเกชัน และอินเตอร์เฟสของเว็บ
ดังนั้น การจัดระบบโครงสร้างข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการออกแบบเว็บไซต์
การพิจารณาว่า เว็บควรจะมีข้อมูลและการทำงานใดบ้าง โดยเริ่มจากการกำหนดเป้าหมาย
กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย เนื้อหาและการใช้งานที่จำเป็นนำมาจัดกลุ่มให้เป็นระบบ
ซึ่งระบบโครงสร้างของข้อมูลแบ่งออกได้ 5 Phase ดังนี้
Phase 1 :สำรวจปัจจัยสำคัญ (Research)
Phase 2:พัฒนาเนื้อหา (Site Content)
Phase 3:พัฒนาโครงสร้างเว็บไซท์ (Site Structure)
Phase 4:ออกแบบ และพัฒนาหน้าเว็บ (Visual Design)
Phase 5:พัฒนาและดำเนินการ (Production & Operation)
Phase 1 :สำรวจปัจจัยสำคัญ (Research)
1. รู้จักตัวเอง-กำหนดเป้าหมายและสำรวจความพร้อม
2. เรียนรู้ผู้ใช้-ระบุกลุ่มผู้ใช้และศึกษาความต้องการการ
3. ศึกษาคู่แข่ง-สำรวจการแข่งขันและการเรียนรู้คู่แข่ง
สิ่งที่ได้รับ
1. เป้าหมายหลักของเว็บ
2. ความต้องการของผู้ใช้
3. กลยุทธ์ในการแข่งขัน
Phase 2:พัฒนาเนื้อหา (Site Content)
4. สร้างกลยุทธ์การออกแบบ
5. หาข้อสรุปขอบเขตเนื้อหา
สิ่งที่ได้รับ
1. แนวทางการออกแบบเว็บ
2. ขอบเขตเนื้อหาและการใช้งาน
3. ข้อมูลที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบ
Phase 3:พัฒนาโครงสร้างเว็บไซท์ (Site Structure)
6. จัดระบบข้อมูล
7. จัดทำโครงสร้างข้อมูล
8. พัฒนาระบบเนวิเกชัน
สิ่งที่ได้รับ
1. แนวทางการออกแบบเว็บ
2. ขอบเขตเนื้อหาและการใช้งาน
3. ข้อมูลที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบ
Phase 4:ออกแบบ และพัฒนาหน้าเว็บ (Visual Design)
9. ออกแบบลักษณะหน้าตาเว็บ
10. พัฒนาเว็บต้นแบบและข้อกำหนดสุดท้าย
สิ่งที่ได้รับ
1. ลักษณะหน้าตาของเว็บ
2. เว็บต้นแบบที่จะใช้ในการพัฒนา
3. รูปแบบโครงสร้างของเว็บ
4. ข้อกำหนดในการพัฒนาเว็บ
Phase 5:พัฒนาและดำเนินการ (Production & Operation)
11. ลงมือพัฒนาเว็บ
12. เปิดเว็บไซท์
13. ดูแลและพัฒนาต่อเนื่อง
สิ่งที่ได้รับ
1. เว็บที่สมบูรณ์
2. เปิดตัวเว็บและทำให้เป็นที่รู้จัก
3. แนวทางการดูแลและพัฒนาต่อไป


บทที่ 9
ออบแบบกราฟฟิกสำหรับเวบไซต์[Designing Web Graphics]
กราฟฟิกเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของเวบเพจ ช่วยสื่อความหมายสร้างความเข้าใจให้กับผู้ใช้ รวมทั้งช่วยสร้าง ความสวยงามให้เวบไซต์ยิ่งขึ้น
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับการสร้างกราฟฟิกคือ การเลือกใช้รูปแบบกราฟฟิกที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะของรูป โดยไม่รู้จักความแตกต่างของรูปแบบกราฟฟิกส่งผลให้รูปที่ได้มีลักษณะไม่สมบูรณ์และมีไฟล์ใหญ่เกินความจำเป็น
รูปแบบกราฟฟิกสำหรับเวบ
 GIF ย่อมาจาก Graphic Interchange Format
         -ได้รับความนิยมในยุคแรก
        -มีข้อมูลขนาด๘บิต มีสีมากสุดถึง๒๕๖สี
       -ไม่สูญเสียข้อมูลขณะบีบอัดข้อมูล
 JPG ย่อมาจาก Joint Photographic Experts Group
                -มีข้อมูลสีขนาด๒๔บิต แสดงสีได้ถึง๑๖.๗ล้านสี
                -มีข้อมูลบางส่วนสูญเสียขณะบีบอัดข้อมูล
 PNG ย่อมาจาก Portable Network Graphic
                 -สนับสนุนระบบสีได้ทั้ง๘บิต ๑๖บิต และ๒๔บิต
                 -มีระบบการบีบอัดแบบDeflateที่ไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย
                -มีระบบการควบคุมค่าแกมม่าและความโปร่งใสในตัวเอง
ระบบการวัดขนาดของรูปภาพ
  -รูปภาพจะใช้หน่วยวัดขนาดตามหน้าจอมอนิเตอร์ นั่นก็คือ หน่วยพิกเซล
                ระบบการวัดความละเอียดของรูปภาพ
 -ควรจะใช้หน่วย pixel per inch (ppi) แต่ทางการใช้งานจะนำหน่วย dot per inch (dpi) ซึ่งเป็นหน่วยวัดความละเอียดของของสิ่งพิมพ์มาใช้งานแทนppiในเวบไซต์ควรมีความละเอียดแค่๗๒ ppiก็พอแล้ว
                โปรแกรมการฟฟิกสำหรับเวบ
 -Adobe PhotoShop
-Adobe ImageReady
-Firework
                กราฟฟิกรูปแบบGIF
 -มีนามสกุล.gif
 -มีคุณสมบัติในการเคลื่อนไหว
 -เป็นกราฟฟิกที่สามารถนำไปใช้กับเบราเซอร์ทุกชนิด
 -เก็บข้อมูลสีได้สูงสุด๘บิต
                กราฟฟิกรูปแบบJPEG
 -มีนามสกุลเป็น.jpg หรือ .jpeg
-ไม่ยึดติดกับปฏิบัติการใดๆ
-ใช้ระบบสีขนาด๒๔บิต ใช้สีมากถึง ๑๖.๗ล้านสี
                คำแนะนำในกระบวนการออกแบบกราฟฟิกสำหรับเวบ
 -ออกแบบกราฟฟิกโดยใช้ชุดสีสำหรับเว็บ
-เลือกใช้รูปแบบกราฟฟิกที่เหมาะสม       
-ตัดแบ่งกราฟฟิกออกเป็นส่วนย่อย

บทที่ 10
จัดรูปแบบตัวอักษรสำหรับเว็บไซต์
ส่วนประกอบของตัวอักษร
  • descender : ส่วนล่างของตัวอักษรพิมพ์เล็กที่ต่ำกว่าเส้น baseline
  • baseline : เส้นสมมติที่ตัวอักษรส่วนใหญ่ตั้งอยู่
  • cap height : ความสูงจากเส้น baseline ไปถึงส่วนบนสุดของตัวอักษรพิมพ์ใหญ่
  • x-height : ความสูงของตัวอักษร x ในแนวพิมพ์เล็ก ซึ่งมักใช้อ้างถึงความสูงของตัวอักษรที่ไม่รวม ascender และ descender
  • point size : ระยะความสูงทั้งหมดวัดจากส่วนบนสุดถึงส่วนล่างสุดของตัวอักษร
  • ค่าความสูง x-height จะมีผลต่อภาพรวมของตัวอักษรและความยากง่ายในการอ่าน
รูปแบบตัวอักษร แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ
  1. ตัวอัการที่มีขนาดสัมพันธ์กับรูปร่าง(Proportional Font) หรือ ตัวอักษรที่มีขนาดไม่คงที่
  • ตัวอักษรแต่ละตัวมีพื้นที่ตามแนวนอนไม่เท่ากันขึ้นอย฿กับรูปร่างของตัวอักษรนั้น
  • สิ่งพิมพ์ต่างๆที่ผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะถูกออกแบบโดยใตวอักษรแบบนี้ เพื่อให้ดูเหมาะสมและอ่านง่าย
2. ตัวอักษรที่มีขนาดคงที่ (Fixed-width Font)
  • จะเป็นตัวอักษรที่มีพื้นที่ตามแนวนอนเท่ากันหมด ซึ่งเป็นรุปแบบที่เรียบง่ายและมีลักษณะคล้ายตัวพิมพ์ดีด
ตัวอักษรประเภท serif และ Sans-Serif
ตัวอักษรประเภท serif
  • ตัวอักษรประเภทนี้จะมีลายเส้นเพิ่มขึ้นที่ส่วนปลาย(บางคนเรียกตัวอักษรมีฐาน)
  • เช่น Times New Rooom,Garamond,Georgiaเป็นต้น
  • ตัวอักษรประเภทนี้เหมาะที่จะในส่วนที่เป็นรายละเอียดเนื้อหา
  • ไม่เหมาะกับการใช้เป็นตัวหนา
ตัวอักษรประเภทSans-Serif
  • ไม่มีลวยเส้นตกแต่งติดอยุ่กับตัวอัดษร
  • เช่น Arial, Verdana, Geneva เป็นต้น
  • เหมาะที่จะใช้กับหัวข้อหรือตัวอักษรขนาดใหญ่
  • ไม่เหมาะกับลักษณะเอียงเพราะจะทำให้รูปร่างเปลี่ยนไปมาก












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น